เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ใบหน้าที่เคยกระชับจะเริ่มหย่อนคล้อย เนื่องจากมีการเสียสมดุลของการสร้างคอลลาเจนไม่เหมือนผิววัยหนุ่มสาว ทำให้เกิดปัญหาผิวเหี่ยวย่น ริ้วรอย ร่องแก้มที่ชัดขึ้น ใบหน้าไม่เข้ารูป หย่อนคล้อย หากเราไม่ทำการรักษา ร่องแก้มหรือปัญหาเหล่านี้ก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้น ปัจจุบัน มีวิธีที่สามารถลดเลือนริ้วรอยและช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวให้กลับมาสวยงามได้อย่างรวดเร็ว และการใช้สารเติมเต็ม Filler ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม Filler ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นสาร ไฮยาลูโรนิค แอซิด(Hyaluronic acid) ซึ่งเป็นสารประกอบน้ำตาลเชิงซ้อน โดยเป็นส่วนประกอบของผิวหนังของคนเราตามธรรมชาติอยู่แล้ว มีคุณสมบัติเป็นสารอุ้มน้ำทำให้เกิดการสร้างผิวใหม่ขึ้นมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปนั่นเอง Juvederm เป็นสารเติมเต็มชนิดล่าสุดที่ได้มีการพัฒนาเพื่อให้ได้ผิวที่ดูสดใส อวบอิ่ม ใบหน้าที่ตึงกระชับ แก้ปัญหาร่องแก้มที่มากขึ้นตามอายุ
การเลือก Filler ที่จะใช้นั้นมีความสำคัญค่อนข้างมาก ควรเป็นชนิดที่ปลอดภัยและผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา และมั่นใจได้ว่าสามารถสลายได้เมื่อไม่ต้องการ และต้องไม่ตกค้างในร่างกายและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
Filler คืออะไร?
Filler หรือ สาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนังของเรา ซึ่งหลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินกันจนชินหูแล้วกับคำว่าคอลลาเจน แต่ก็ยังไม่รู้ชัดเจน คอลลาเจนนั้นเป็นโปรตีนสำคัญของผิว เพราะเป็นส่วนที่เปรียบได้กับสปริงของผิวหนัง ช่วยสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ นึกถึงเวลาจับแก้มเด็กเล็ก ๆ ดู จะสัมผัสได้ทันทีถึงความใส ตึง ที่ผิวแก้ม แต่ภายหลังอายุ 20 ปี
คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลง พอสปริงไม่เด้งเหมือนเก่า ผิวหนังจึงยุบตัวลง ความเหี่ยวย่น ริ้วรอย และความชราของผิวพรรณจึงปรากฏ Filler จึงเป็นสารเติมเต็ม เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกหรือใช้แก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า เพื่อเติมเต็มและสร้างมิติให้กับส่วนต่างๆของใบหน้า มีความปลอดภัย สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติโดยใช้เวลาประมาณ 9 -12 เดือน การรักษาด้วยการฉีด Filler ต้องกระทำด้วยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการรักษา แพทย์จะเลือกบริเวณที่จะฉีดให้เหมาะสมกับปัญหาของคนไข้ในแต่ละกรณี
Juvederm มีข้อแตกต่างจาก Filler ตัวเดิมที่ใช้กันอยู่อย่างไรบ้าง?
ในขบวนการผลิตมีการผสมยาชา เข้าไปในโมเลกุลของ Hyaluronic acid เรียบร้อย ทำให้ขณะฉีดมีความรู้สึกเจ็บน้อยลงมาก จนแทบไม่รู้สึกเลย รู้สึกสบายมากขึ้น โมเลกุลของ Hyaluronic acid ที่เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แขวนลอยอยู่กับตัวนำพาเหมือน filler ตัวอื่นๆ ที่สำคัญ Juvederm มีความเข้มข้นของปริมาณ Hyaluronic acid ต่อ 1มิลลิลิตร ในปริมาณที่มากกว่า filler ตัวอื่นๆ ข้อได้เปรียบนี้ทำให้ Juvederm อยู่ได้นานขึ้นไม่สลายออกจากผิวหนังเราเร็วเกินไปนัก รวมถึงลดโอกาสการเกิดก้อน ผิวไม่เรียบหลังฉีด และความรู้สึกไม่เป็นเนื้อเดียวกันกับผิวในบริเวณที่ฉีดได้ นอกจากนี้ Juvederm ยังลดโอกาสการกระจายตัวหรือไหลออกไปสู่บริเวณข้างเคียงได้ค่อนข้างมากกว่า และทำให้ใช้ยาปริมาณน้อยลง เนื่องจากไม่ได้ยุบตัวลงหลังฉีดมากเหมือน Filler ตัวอื่น และได้ผลการรักษาที่สวยงามมากขึ้น
Filler ทำงานอย่างไร?
Filler เป็นสารเติมเต็มผิวตามธรรมชาติ ที่มีความปลอดภัยสูงไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบการแพ้ก่อนทำ การรักษา Hyaluronic Acid ที่มีอยู่ใต้ผิวตามธรรมชาตินั้นทำหน้าที่เก็บกักน้ำใต้ผิวและรักษาช่องว่าง เซลล์ผิวหนัง เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณ Hyaluronic Acid จะลดลงทำให้ผิวแห้งกร้านและเกิดรอยได้ง่าย Filler จึงช่วยเติมเต็มจุดบกพร่องให้ใบหน้าดูสมส่วน คืนความเปล่งปลั่ง เรียบเนียน ดูอ่อนวัยอีกครั้งด้วยการเติมคอลลาเจน (Collagen, Skin Filler) กลับเข้าสู่ผิว ช่วยเพิ่มความเต่งตึงและเรียบเนียนให้เนื้อผิวในส่วนที่คอลลา เจนสลายไป
Filler มีประโยชน์อย่างไร?
- แก้ไขปัญหาร่องแก้มที่เป็นจุดเด่นทำให้มองดูมีอายุ ขาดความอวบอิ่ม
- ลบริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
- เสริมจมูกให้ดูมีมิติ
- เสริมคาง แก้ไขปัญหาเรื่องคางย้อย
- ตกแต่งริมฝีปาก แก้ปัญหามุมปากตก ริมฝีปากบาง ปรับขนาดให้เท่ากัน
- ฉีดขมับ แก้ปัญหาขมับตอบ ให้หน้าดูอวบอิ่ม
- ใต้ตา ทำให้ดูตาดูสดใส ไม่เศร้าหมอง
- เติมเต็มแผลเป็นสิวให้ตื้นขึ้น Filler เสริมจมูกและคาง
Filler ทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล และต้องทำบ่อยแค่ไหน?
หลังจากฉีดFillerสามารถสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงที่เรียบเนียนเป็นธรรมชาติเหมือนเนื้อผิวปกติได้ทันที และจะคงอยู่ได้นาน 8 – 12 เดือน
ความรู้สึกระหว่างทำและหลังทำ Filler
ก่อนการรักษาด้วย Filler ควรงดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามินอี น้ำมันตับปลา สารสกัดใบแปะก๊วย แอสไพริน ประมาณ 7 วัน เพื่อลดรอยช้ำหลังการฉีด ในรักษาแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 15 – 30 นาทีในการฉีด
หลังการรักษาด้วย Filler ไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้นแต่อย่างใด สามารถใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ทันที บางรายผิวหนังอาจบวมแดง หรืออาจเกิดห้อเลือดเป็นจุดเล็กๆ ซึ่งจะหายไปได้เองหลังการฉีดยา 1-2 สัปดาห์
- การดูแลหลังการรักษาด้วย Filler
- หลีกเลี่ยงการทำ Laser หรือ Treatment ประมาณ 2 สัปดาห์
- ควรงดการดื่ม Alcohol หรือสูบบุหรี่ประมาณ 2-3 วันเพื่อลดอาการบวม แดง และช้ำ บริเวณที่ฉีด
- ไม่ควรใช้เครื่องสำอางในระหว่าง 12 ชั่วโมงหลังการฉีดยา
- ควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด รังสียูวี และอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส
- ไม่ควรอบเซาว์น่า ในระหว่าง 2 สัปดาห์หลังการฉีดยา
Filler เหมาะกับใคร?
Filler เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึกในระดับปานกลางถึงมาก และต้องการมีใบหน้าที่กระชับเต่งตึง อวบอิ่ม คืนความสดใสเปล่งปลั่ง ไร้ซึ่งริ้วรอยและความหย่อนคล้อยแห่งวัยเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ใบหน้าที่เคยกระชับจะเริ่มหย่อนคล้อย เนื่องจากมีการเสียสมดุลของการสร้างคอลลาเจนไม่เหมือนผิววัยหนุ่มสาว ทำให้เกิดปัญหาผิวเหี่ยวย่น ริ้วรอย ร่องแก้มที่ชัดขึ้น ใบหน้าไม่เข้ารูป หย่อนคล้อย หากเราไม่ทำการรักษา ร่องแก้มหรือปัญหาเหล่านี้ก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้น ปัจจุบัน มีวิธีที่สามารถลดเลือนริ้วรอยและช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวให้กลับมาสวยงามได้อย่างรวดเร็ว และการใช้สารเติมเต็ม Filler ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม Filler ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นสาร ไฮยาลูโรนิค แอซิด(Hyaluronic acid) ซึ่งเป็นสารประกอบน้ำตาลเชิงซ้อน โดยเป็นส่วนประกอบของผิวหนังของคนเราตามธรรมชาติอยู่แล้ว มีคุณสมบัติเป็นสารอุ้มน้ำทำให้เกิดการสร้างผิวใหม่ขึ้นมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปนั่นเอง Juvederm เป็นสารเติมเต็มชนิดล่าสุดที่ได้มีการพัฒนาเพื่อให้ได้ผิวที่ดูสดใส อวบอิ่ม ใบหน้าที่ตึงกระชับ แก้ปัญหาร่องแก้มที่มากขึ้นตามอายุ
การเลือก Filler ที่จะใช้นั้นมีความสำคัญค่อนข้างมาก ควรเป็นชนิดที่ปลอดภัยและผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา และมั่นใจได้ว่าสามารถสลายได้เมื่อไม่ต้องการ และต้องไม่ตกค้างในร่างกายและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
Filler คืออะไร?
Filler หรือ สาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนังของเรา ซึ่งหลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินกันจนชินหูแล้วกับคำว่าคอลลาเจน แต่ก็ยังไม่รู้ชัดเจน คอลลาเจนนั้นเป็นโปรตีนสำคัญของผิว เพราะเป็นส่วนที่เปรียบได้กับสปริงของผิวหนัง ช่วยสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ นึกถึงเวลาจับแก้มเด็กเล็ก ๆ ดู จะสัมผัสได้ทันทีถึงความใส ตึง ที่ผิวแก้ม แต่ภายหลังอายุ 20 ปี
คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลง พอสปริงไม่เด้งเหมือนเก่า ผิวหนังจึงยุบตัวลง ความเหี่ยวย่น ริ้วรอย และความชราของผิวพรรณจึงปรากฏ Filler จึงเป็นสารเติมเต็ม เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกหรือใช้แก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า เพื่อเติมเต็มและสร้างมิติให้กับส่วนต่างๆของใบหน้า มีความปลอดภัย สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติโดยใช้เวลาประมาณ 9 -12 เดือน การรักษาด้วยการฉีด Filler ต้องกระทำด้วยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการรักษา แพทย์จะเลือกบริเวณที่จะฉีดให้เหมาะสมกับปัญหาของคนไข้ในแต่ละกรณี
Juvederm มีข้อแตกต่างจาก Filler ตัวเดิมที่ใช้กันอยู่อย่างไรบ้าง?
ในขบวนการผลิตมีการผสมยาชา เข้าไปในโมเลกุลของ Hyaluronic acid เรียบร้อย ทำให้ขณะฉีดมีความรู้สึกเจ็บน้อยลงมาก จนแทบไม่รู้สึกเลย รู้สึกสบายมากขึ้น โมเลกุลของ Hyaluronic acid ที่เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แขวนลอยอยู่กับตัวนำพาเหมือน filler ตัวอื่นๆ ที่สำคัญ Juvederm มีความเข้มข้นของปริมาณ Hyaluronic acid ต่อ 1มิลลิลิตร ในปริมาณที่มากกว่า filler ตัวอื่นๆ ข้อได้เปรียบนี้ทำให้ Juvederm อยู่ได้นานขึ้นไม่สลายออกจากผิวหนังเราเร็วเกินไปนัก รวมถึงลดโอกาสการเกิดก้อน ผิวไม่เรียบหลังฉีด และความรู้สึกไม่เป็นเนื้อเดียวกันกับผิวในบริเวณที่ฉีดได้ นอกจากนี้ Juvederm ยังลดโอกาสการกระจายตัวหรือไหลออกไปสู่บริเวณข้างเคียงได้ค่อนข้างมากกว่า และทำให้ใช้ยาปริมาณน้อยลง เนื่องจากไม่ได้ยุบตัวลงหลังฉีดมากเหมือน Filler ตัวอื่น และได้ผลการรักษาที่สวยงามมากขึ้น
Filler ทำงานอย่างไร?
Filler เป็นสารเติมเต็มผิวตามธรรมชาติ ที่มีความปลอดภัยสูงไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบการแพ้ก่อนทำ การรักษา Hyaluronic Acid ที่มีอยู่ใต้ผิวตามธรรมชาตินั้นทำหน้าที่เก็บกักน้ำใต้ผิวและรักษาช่องว่าง เซลล์ผิวหนัง เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณ Hyaluronic Acid จะลดลงทำให้ผิวแห้งกร้านและเกิดรอยได้ง่าย Filler จึงช่วยเติมเต็มจุดบกพร่องให้ใบหน้าดูสมส่วน คืนความเปล่งปลั่ง เรียบเนียน ดูอ่อนวัยอีกครั้งด้วยการเติมคอลลาเจน (Collagen, Skin Filler) กลับเข้าสู่ผิว ช่วยเพิ่มความเต่งตึงและเรียบเนียนให้เนื้อผิวในส่วนที่คอลลา เจนสลายไป
Filler มีประโยชน์อย่างไร?
- แก้ไขปัญหาร่องแก้มที่เป็นจุดเด่นทำให้มองดูมีอายุ ขาดความอวบอิ่ม
- ลบริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
- เสริมจมูกให้ดูมีมิติ
- เสริมคาง แก้ไขปัญหาเรื่องคางย้อย
- ตกแต่งริมฝีปาก แก้ปัญหามุมปากตก ริมฝีปากบาง ปรับขนาดให้เท่ากัน
- ฉีดขมับ แก้ปัญหาขมับตอบ ให้หน้าดูอวบอิ่ม
- ใต้ตา ทำให้ดูตาดูสดใส ไม่เศร้าหมอง
- เติมเต็มแผลเป็นสิวให้ตื้นขึ้น Filler เสริมจมูกและคาง
Filler ทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล และต้องทำบ่อยแค่ไหน?
หลังจากฉีดFillerสามารถสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงที่เรียบเนียนเป็นธรรมชาติเหมือนเนื้อผิวปกติได้ทันที และจะคงอยู่ได้นาน 8 – 12 เดือน
ความรู้สึกระหว่างทำและหลังทำ Filler
ก่อนการรักษาด้วย Filler ควรงดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามินอี น้ำมันตับปลา สารสกัดใบแปะก๊วย แอสไพริน ประมาณ 7 วัน เพื่อลดรอยช้ำหลังการฉีด ในรักษาแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 15 – 30 นาทีในการฉีด
หลังการรักษาด้วย Filler ไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้นแต่อย่างใด สามารถใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ทันที บางรายผิวหนังอาจบวมแดง หรืออาจเกิดห้อเลือดเป็นจุดเล็กๆ ซึ่งจะหายไปได้เองหลังการฉีดยา 1-2 สัปดาห์
- การดูแลหลังการรักษาด้วย Filler
- หลีกเลี่ยงการทำ Laser หรือ Treatment ประมาณ 2 สัปดาห์
- ควรงดการดื่ม Alcohol หรือสูบบุหรี่ประมาณ 2-3 วันเพื่อลดอาการบวม แดง และช้ำ บริเวณที่ฉีด
- ไม่ควรใช้เครื่องสำอางในระหว่าง 12 ชั่วโมงหลังการฉีดยา
- ควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด รังสียูวี และอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส
- ไม่ควรอบเซาว์น่า ในระหว่าง 2 สัปดาห์หลังการฉีดยา
Filler เหมาะกับใคร?
Filler เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึกในระดับปานกลางถึงมาก และต้องการมีใบหน้าที่กระชับเต่งตึง อวบอิ่ม คืนความสดใสเปล่งปลั่ง ไร้ซึ่งริ้วรอยและความหย่อนคล้อยแห่งวัย